อดีตนักร้องชื่อดัง เจ้าของเพลง “พบรักเมื่อรถแซง” ตาบอดสนิทมา 15 ปี วอนผู้ใจบุญช่วยเหลือ ภาคตะวันออก 14 มี.ค. 2023 142 share tweet share อดีตนักร้องเจ้าของเพลงดัง “พบรักเมื่อรถแซง” ตาบอดสนิทใช้ชีวิตแสนเข็ญ ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปที่บ้านเลขที่ 57 ม.4 ต.มาบไผ่ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวก่ออิฐถือปูนหลังย่อมๆ ก็ได้พบกับ นายสุพิณ จันทร์ทรัพย์ อายุ 75 ปี หรือที่เมื่อหลายสิบปีก่อนมิตรรักแฟนเพลงรู้จักกันดีว่า“ศักดิ์สิทธิ์ สู้เสรี” กำลังใช้จอบเล็กๆนั่งถอนหญ้าและพรวนดินอยู่บริเวณข้างบ้าน ผู้สื่อข่าวจึงได้แนะนำตัวพร้อมขออนุญาตพูดคุยและขอบันทึกภาพรวมทั้งคลิปวีดีโอ เพื่อที่จะนำเสนอข่าว ซึ่งเจ้าตัวก็ยินยอมและได้หยุดพรวนดินพร้อมนั่งพูดคุยด้วยจากการสอบถามอดีตนักร้องชื่อดัง ได้เปิดเผยว่า ตนเองเป็นคนตำบลหนองไม้แดง อ.เมือง จ.ชลบุรี หลังจากบวชเรียนทดแทนให้กับพ่อแม่ตามธรรมเนียมปฏิบัติของผู้ที่นับถือศาสนาพุทธแล้ว ก็เริ่มต้นชีวิตวัยหนุ่มด้วยการไปสมัครเป็นนักร้องเชียร์รำวงให้กับคณะดาราน้อย ใช้ชีวิตโลดแล่นไปตามประสาคนหนุ่ม แต่อยู่มาหลายปีก็รู้สึกเริ่มเบื่อ จึงได้ลาออกไปรับจ้างขับรถสิบล้ออีกระยะหนึ่ง แต่ด้วยความที่ตนเองเป็นคนชอบร้องเพลงมาตั้งแต่วัยเด็กและมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักร้อง จึงเดินทางไปสมัครเป็นนักร้องอยู่กับวงดนตรีของครูเพลง ฉลอง ภู่สว่าง ในยุคเดียวกับ คัมภีร์ แสงทอง อดีตนักร้องชื่อดังอีกคน ซึ่งก็ดูว่าน่าจะไปได้ดี แต่นานวันเข้าก็มีปัญหากับนักร้องในวงดนตรีถึงขั้นชกต่อยกัน ถึงขนาดเรียกว่าใครพลาดก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่งก็เลยต้ออกมาจากวงและมาเจอกับ ศรีนวล นภดล ก็เลยชักชวนตนไปอยู่กับวงดนตรีคณะดนตรี พิณ ศรีวิชัย ที่กำลังพอมีชื่อเสียงอยู่ในขณะนั้น ซึ่งก็ได้รับความเมตตาให้อยู่ประจำคณะ โดยมีหน้าที่ขับรถให้กับวงดนตรี รวมทั้งร้องเพลงไปด้วย ซึ่งในขณะเดียวตนเองก็ได้แต่งเพลงเขียนเพลงเองไว้หลายสิบเพลงด้วย เช่นเพลง ใครสอนเธอให้เกลียดคนจน ,พบรักเมื่อรถแซง ทำให้ถูกใจและเป็นที่ชื่นชอบของหัวหน้าคณะ จึงได้สนับสนุนให้ตนเองได้บันทึกเสียงเป็นครั้งแรกเมื่อประมาณปี พ.ศ.2519 และปล่อยเพลงออกไปตามสถานีวิทยุต่างๆ ซึ่งก็ได้รับความสนใจและการต้อนรับจากแฟนเพลงเป็นอย่างดี ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังพร้อมทั้งรับงานและเดินสายทำการแสดงไปทั่วประเทศอยู่ระยะหนึ่ง จนกระทั่งได้ไปทำการแสดงที่วัดบ้านไร่ อ.พานทอง และได้พบรักกับภรรยาที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาถึงทุกวันนี้ เมื่อปี พ.ศ.2519 นั่นแหละ และมีบุตรสาว 1 คน ปัจจุบันมีงานทำแล้วหลังจากแต่งงานกันหลายปี จนกระทั่งมีบุตรสาวด้วยกันแล้ว ตนเองก็ได้หยุดใช้ชีวิตกับการเดินสายไปกับวงดนตรี โดยหันมาเอาดีด้วยการเป็นนักร้องตามร้านอาหารในจังหวัดชลบุรี รวมทั้งเป็นนักดนตรีด้วยการเล่นอีเลคโทนไปด้วย โดยได้รับความอนุเคราะห์จาก อ.เกื้อ อุตสาหกานนท์ ได้มอบเมโลเดียน ให้มาหนึ่งตัว จึงมาศึกษาฝึกฝนด้วยตนเอง กระทั่งสามารถเล่นได้และขยับไปเล่นอีเลคโทน ซึ่งก็มีรายได้ดี เนื่องจากมีลูกค้าทั้งชายหญิงชื่นชอบการร้องเพลงของตนเอง และให้รางวัลเป็นสินน้ำใจทุกคืน ทำให้ตนเองสามารถปลูกบ้านหลังย่อมๆที่ได้พักอาศัยอยู่ทุกวันนี้จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ.2550 ดวงตาก็เริ่มมีปัญหา เริ่มต้นด้วยการเห็นแบบฝ้าฟาง จึงรีบเดินทางไปพบแพทย์หลายแห่งเพื่อรักษาอาการ แต่ก็ไม่ดีขึ้น จนกระทั่งบอดสนิทมองไม่เห็นอะไรเลยแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้งสองข้าง ทุกวันนี้ก็ยังอยู่กับภรรยาและลูกสาว เพียงแต่ลูกสาวเขาแต่งงานมีครอบครัวก็เลยแยกไปอยู่คนละหลัง ภรรยาก็ไปปลูกร้านขายของโชห่วยเล็กๆน้อยๆแต่ไม่ห่างกันมากนัก โดยตนเองมีไม้เท้าเป็นผู้นำคลำทางในการเดินอยู่ในบ้านและบริเวณบ้าน รวมทั้งมีวิทยุทรานซิสเตอร์เป็นเพื่อนคลายเหงาและบอกเวลาว่ากี่โมงแล้ว ส่วนโทรศัพท์ก็ไม่ได้ใช้มาตั้งแต่ตนเองตาบอดแล้ว เพราะมองไม่เห็นจึงไม่สามารถใช้ได้ รายได้ก็มีบัตรผู้พิการเดือนละ 1,000 บาท รวมไปถึงบุตรสาวก็ให้ใช้จ่ายอีกเดือนละ 1 พันบาท ซึ่งตนเองก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร เนื่องจากทุกวันภรรยาจะเป็นผู้หุงหาและนำข้าวปลามาส่งทุกวัน ส่วนที่ต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือ อยากจะมองเห็นอีกสักครั้ง ซึ่งก็ไม่อยากจะไปรบกวนใคร เพียงแต่ต้องการให้พาไปพบแพทย์ที่เก่งๆเท่านั้นซึ่งก่อนจากกัน ได้กล่าวว่ากับผู้สื่อข่าวว่า ก็ต้องขอขอบคุณผู้สื่อข่าวที่ยังให้ความสำคัญกับชีวิตของตนด้วยการนำไปนำเสนอสู่สาธารณชน และต้องขอขอบคุณ คุณพิณ ศรีวิชัย อดีตเจ้าของวงดนตรี รวมไปถึง คัมภีร์ แสงทอง , โฆษิต นพคุณ พร้อมด้วย วิศนุกร นครปฐม อดีตพระเอกละครคณะเกศทิพย์ และเพื่อนักร้องดังในอดีต ที่ได้เคยแวะมาเยี่ยมสอบถามสาร ทุกข์สุกดิบให้กำลังใจเป็นอย่างดี ทำให้ตนเองมีกำลังใจมากยิ่งขึ้น โดยก่อนผู้สื่อข่าวจะลาจากมานั้น อดีตนักร้องชื่อดังยังขับร้องเพลง คนละวันกัน ที่แต่งไว้ล่าสุดให้ผู้สื่อข่าวฟังอย่างอารมณ์ดีด้วย